MechReview Mini NewMech

[MechReview] รีวิว Keychron K2 – 75% บอร์ดเดียวเอาอยู่ เพื่อนคู่ออฟฟิศ มิตรคู่เกมมิ่ง

K2 - บอร์ดหนึ่งที่พึ่งได้ จะทำงาน จะเล่นเกม ไม่หวั่นแม้วันที่ต้องทำทั้งสองอย่าง!!

K2 – บอร์ดหนึ่งที่พึ่งได้ จะทำงาน จะเล่นเกม ไม่หวั่นแม้วันที่ต้องทำทั้งสองอย่าง!!           

ก่อนหน้านี้เราได้มีโอกาสรีวิว Keychron K1 ตัว low profile จากทาง Keychron ประเทศไทยกันกไปแล้วนะครับ วันนี้นักเลงได้มีโอกาสลองจับเจ้า K2 จาก Keychron มารีวิวกัน บอร์ดวันนี้ใช้สวิชต์ตระกูล MX กันครับ ก็คือทรง cherry ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ประวัติเจ้า K2 จะคล้ายๆ กลับรุ่นพี่สายแบนหรือเจ้า K1 นะครับ จากจุดเริ่มต้นที่ Kickstarter ก่อนจะถือกำเนิดมาเป็น K2 ในมือเราวันนี้ครับ

            อย่างไรก็ตาม อยากจะ shoutout ให้ Keychron อีกหนึ่งทีครับ แม้ว่าจะเป็นผู้นำเข้าไทยแบบ official แค่เจ้าเดียวแต่ก็มีการ localize สินค้าด้วยการผลิตปุ่มภาษาไทยออกมาคู่กับบอร์ดด้วย หลายทีเราอาจจะมีปัญหาที่ว่าบอร์ดสวย ใช้งานดีแต่ติดที่ไม่มีปุ่มไทย นักเลงว่าเยี่ยมครับ

First Impression 

ขอบอลูมิเนียม สีออก Gun Metal ด้าน แข็งแรงทนทานแน่นอน

            K2 เป็นบอร์ดขนาด 75% ครับ ใหญ่กว่า 60% นิดนึง มี F row กับปุ่มจากแถบ nav clusters พวก insert delete ลูกศร มาด้วย ฟังก์ชันการใช้งานเทียบเท่า TKL โดยที่ไม่ต้องเข้าไปใช้ second layer ครับ ใช้งานง่ายโดยที่ไม่ต้องฝึกเปลี่ยนเลย์เยอร์แบบพวกบอร์ด 60% คุณภาพการประกอบและวัสดุดีเยี่ยมเลยด้วยขอบของบอร์ดเป็นอลูมิเนียม สีดำกึ่งด้าน มีเนื้อสัมผัสค่อนข้างเนียนครับ (นี่คีย์บอร์ดหรือรีวิวเนื้อ 555) บอร์ดแข็งแรงครับ ไม่มีการ flex ไม่บิดไม่อี้ดอ้าด และเมื่อพลิกมาดูด้านข้างของคีย์บอร์ด เราจะพบกับสวิชต์สองตัว อันนึงเอาไว้สลับ OS ระหว่าง PC กับ Mac และสวิชต์เอาไว้เปลี่ยนระหว่าง ปิด ต่อ Bluetooth และเสียบสายครับ และสายที่เอาไว้ใช้คือออ USB – C (แม่อาจจะดูเรื่องเล็กๆ แต่ผมว่าทั้งหมดทั้งมวลควรจะเป็น USB – C  ได้แล้วครับ) แต่อย่างไรก็ตาม ช่อง USB อยู่ค่อนข้างลึกครับ ถ้าไม่ใช่สายที่มาด้วยกันอาจจะต้องหาอันแบนๆ เสียบแทนครับผม 

มุมมองจากข้างๆ พร้อมขาตั้งกางออก เป็นบอร์ดที่ค่อนข้างสูงนะครับ
Side Profile ด้านข้าง เห็นสวิชต์ชัดเจน สองอันนี้เอาไว้สลับโหมดเชื่อมต่อกับเปลี่ยนโหมด Mac PC ครับ

            คีย์แคปเป็น ABS oil-laser engraved สัมผัสคล้ายๆ กับตัว K1 ก่อนหน้านี้ครับ สีจะเนียนๆ ส่วนเนื่อสัมผัสก็จะเนียนๆ ไม่สากแบบ PBT แกะกล่องมาเลย keycaps จะเป็นของ Mac ครับ ถ้าอยากสลับไปใช้ของ windows เจ้า K2 เองก็มีแคปมาให้เปลี่ยนในกล่องได้เลย เลยครับ Font บนแคปเรียบร้อยมากก ใช้งานแล้วรู้สึก professional อยากจะทำงานตลอดเวลา 555 เข้ามาเรื่อง stabs นิดนึง stabs ไม่สั่น ตอนแรกกดออกหนืดๆ นิดนึงด้วย 555 พอลองดึงแคปออกมาดูก็ถึงบางอ้อครับ Keychron เขา lube stabs มาให้จากโรงงานเลยครับ ดีนะ แต่ว่าตอนแรกๆ ใช้ไปมันจะหนืดหน่อยๆ ต้องใช้ไปซักพักให้ lube มันเข้าที่ก่อนครับจะหายหนืด

Keycaps มาตรฐานภาษาไทยครับ ฟอนต์สวยเรียบร้อย ชัดเจน แต่ไม่โบราณ

            อีกประเด็นที่ขาดไม่ได้เลย ARR GEE BEEZ (RGB) ครับ 555 เป็นอีกเรื่องที่ Keychron เขาแน่นอนจริงๆ เราสามารถปรับแต่งได้จากบนบอร์ดเลยกว่า 18 แบบ แถมรอบนี้มีปุ่มมาเพื่อเปลี่ยนรูปแบบไฟโดยเฉพาะเลยด้านบนขวา 555 แจ๋วครับ

การใช้งาน

            กับการทำงานที่บริษัท ทุกอย่างลงตัวมากครับ ด้วยขนาดของ K2 ที่ยังนับเป็นสายประหยัดที่หรือ compact ครับ พื้นที่โต๊ะทำงานของผมไม่ได้เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นตัวนี้ช่วยลดพื้นที่การใช้งานบนโต๊ะทำงานของผม เพิ่มพื้นที่ใช้สอยเช่นสมุดโน๊ต หรือวางของนู่นนี่ครับ ส่วนการใช้งานโดยทั่วไปนั้น ถ้าใครใช้โน๊ตบุ๊คอยู่แล้วอยากลองหาคีย์บอร์ดไว้ใช้ที่ออฟฟิศ K2 ตอบโจทย์ได้อย่างเต็ม 100 แถมมีปุ่มลูกศรกดได้เลย สะดวกครับ บอร์ด 60% ที่เปลี่ยนปุ่ม FN ไม่ได้ไม่เข้ามือผมเท่า K2 เรื่องแบตอึดๆ เหลือๆ ครับ 5555 คุณอึดกับงานได้แค่ไหน K2 ก็อึดกับคุณได้แค่นั้นอะ แบตลูกตั้ง 4000 Mah เหลือๆ ครับ ใช้กันลืมเลย สัปดาห์นึงจะชาร์จซักครั้งนึงมั้งครับ (ไม่ได้เปิดไฟตลอดเวลาครับ) 5555 ส่วนตัวนี้ที่มาพร้อมกับ Keycap ภาษาไทยด้วย ดังนั้นถ้าคุณพิมพ์สัมผัสไม่ได้ ไม่ใช้ปัญหาอีกต่อไปครับผม จะก้มจะมองนิ้วยังไง ได้เลยครับ 55555 (อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ฝึกพิมพ์สัมผัสครับ หลายคนคิดว่าทำไม่ได้แต่พอทำจริงๆ ได้ครับ ของมันต้องลอง เชื่อผม) ถ้าเป็นห่วงเรื่องเสียงพิมพ์ ผมแนะนำ สวิชต์ Red ครับ มันจะยังต๊อกแต๊กอยู่แต่เบากว่า Brown และ Blue ครับผม

            K2 สามารถต่อ BT ได้สามเครื่องพร้อมกัน เหมาะกับการพกไปมาระหว่างบ้านและที่ทำงานครับ ง่ายดี ไม่ต้อง pair ใหม่ให้ยุ่งด้วย แค่กด FN กับ 1 2 3 ค้างไว้ ง่ายนิดเดียว (เมื่อก่อนคิดว่าเฉยๆ แต่พอพกงานกลับมาทำที่บ้านด้วยแล้วทำงานกับคอมบริษัทกับคอมที่บ้านเริ่มรู้สึกว่า feature นี้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ 5555)

            เรื่องการใช้เล่นเกม (พักนี้ติด Modern Warfare 555) ไม่ควรใช้ BT เล่นเกมครับ มีดีเลย์นิดหน่อยโดยเฉพาะเวลากดหลายๆ ปุ่มเร็วๆ อาจจะเกิดการที่ปุ่มไม่ register ได้ (จะบอร์ดไหนก็เป็นครับผม) เสียบสายไปเลยครับ ประกอบกับว่าเจ้า K2 เซ็ตมาโครไม่ได้ครับ (ที่คุยกับ Keychron มา software ที่จะเอามาใช้ set macro หรือรีแมปปุ่มต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาครับ ปี 2020 น่าจะได้ใช้กัน ระหว่างนี้ใช้โปรแกรม 3rd party เปลี่ยนกันก่อนได้ครับ เช่น Karabiner element ของแมคหรือ Sharpkeys ของสาย PC) หลักๆ feature อื่นๆ ก็ใกล้เคียงบอร์ดเกมมิงแล้วครับ หากใครต้องใช้ฟังก์ชันนี้อาจจะไม่มีมาบนบอร์ดนะครับ ต้องหา software เซ็ตเองหรือไม่ก็เซ็ตไปกับเมาส์ซะ นอกเหนือจากสองอย่างนี้แล้วการเล่นเกมไม่มีปัญหาครับ วัดกันที่ฝีมือละครับ 55555 คิดว่าเป็นบอร์ดที่ลงตัวมากระหว่างชีวิตสายทำงานและชีวิตสายเกมมิ่ง 

ชัดๆ กับ Gateron Red Switch

            ทีนี้ขอเพิ่มเรื่องอีกเรื่อง คือเรื่องฟิลลื่งการพิมพ์ของแต่ละสวิชต์เลย รวบรัดแบบรวดยอดของสวิชต์ทั้งสามสี บอกเลยว่าแม้เอกลักษณ์ของแต่ละสวิชต์จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ฟีลลิ่งจริงๆ เวลากดลงไปเนี่ยกลั่นออกมาเป็นตัวหนังสือได้ค่อนข้างยาก นักเลงจะพยายามสรุปออกมาให้ดีที่สุดละกัน 5555

                Red Switch: สวิชต์จังหวะเดียวหรือเรียกเป็นภาษาในวงการว่า Linear ขึ้นตรงๆ ลงตรงๆ ไม่มีความรู้ feedback อะไรทั้งสิ้นถ้าไม่นับกดจนสุดแล้วเกิดเสียงป๊อกแป๊กจากการกระแทกพื้น ถ้าถามหาความเงียบ red คือเงียบที่สุดในสามตัว โดยผู้พิมพ์ต้องไม่กดลงจนสุด หรือ bottom out ส่วนน้ำหนักสวิชต์นี้ส่วนตัวผมถือว่าค่อนข้างเบา พิมพ์งานนานๆ ไม่เมื่อยครับ

                Brown Switch: สวิชต์นี้จะมีลูกระนาดอยู่ระหว่างระยะกดทั้งหมดครับ ชื่อสายพันธ์แบบนี้อย่างเป็นทางการในโลก mechanical keyboard เรียกกันว่า Tactile จากมุมมองของกลไกสวิชต์ ก็ยังน่าจะเป็นจังหวะเดียวนะ แต่ความรู้สึกเวลากดลงไปจะมีจังหวะนิดนึงก่อนจะขึ้นลูกระนาด แล้วก็จะมีจังหวะที่ผ่านลูกระนาด ซึ่งจะเป็นจังหวะเดียวกันกับ key register ถ้าพิมพ์เร็วๆ ไม่รู้สึกเป็นสองจังหวะ จะเป็นแค่ฟิลลิ่งติดนิ้วเบาๆ ว่ามีกรึ๊บๆ เหมือนเคี้ยวกระดูกอ่อนครับ 555 โดยกลไกมันไม่มีเสียงในตัว แต่เล่าจากประสบการณ์ส่วนตัว จังหวะลงจาก bump มันจะคุมไม่ได้เหมือน red ทำให้เสียงในการพิมพ์ทั่วไปนั้นดังจากการที่เรากระแทกพื้นครับ ถ้าในพื้นที่ที่ใช้เป็น office ที่ค่อนข้างใหญ่ มีคนคุยกันตลอดเวลาก็ไม่มีใครสังเกตุครับ

                Blue Switch: สวิชต์ที่โดยกลไกแล้วเป็นสองจังหวะอย่างค่อนข้างชัดเจน เพราะเสียง click ที่มันแจ๊บๆ เป็นที่มาของชื่อเรียกชนิดนี้ว่า Clicky จังหวะที่สองของชนิดนี้จะมาจาก click jacket ที่ทำงานตามมาจากเวลาเรากดผ่านลูกระนาดคล้ายๆ กับ brown ครับ แต่จะเป็นอีกระบบเลย โดยจะมีเหมือนปลอกที่จะกระแทกกับ click leaf แล้วทำให้น้ำหนักมันกระแทกลงมาข้างในสวิชต์ เด้งมือดีครับ เป็นสวิชต์ที่พิมพ์สนุกมากด้วยความรู้สึกเวลาเรากดและเสียงที่มันแจ๊บๆ แต่อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับท่านที่ใช้ในพื้นที่สาธารณะที่ค่อนข้างเงียบนะครับ 5555

            โดยรวมอยู่ที่ความชอบส่วนตัวครับ ถ้ามีโอกาส ลองคิดถึงปัจจัยต่างๆ แล้วหาจังหวะไปลองของจริงๆ ก่อนตัดสินใจซื้อก็ดีนะ ไม่มีผลต่อการเล่นเกมหรือทำงานใดๆ โดยตรงครับ ปัจจัยส่วนบุคคลล้วนๆ

ออกไปเดินเล่น เลยพกไปถ่ายด้วย อิอิ เปลี่ยนฟีลนะ

สรุป

            เรื่องนึงคือบอร์ดนี้ค่อนข้างสูงครับ อาจจะวางข้อมือไม่ค่อยถนัด แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยที่รองข้อมือครับ Keychron ได้ส่งที่รองข้อมือไม้มาด้วย สวยมากครับ ใช้ด้วยกันแล้วกำลังพอดี แต่อย่างไรก็ตาม บอร์ดค่อนข้างสูงสำหรับคนที่ชอบวางบอร์ดบนพื้นโต๊ะเลย อีกเรื่องคือ layout ปุ่มเป็น 75% เพราะฉะนั้นหากใครอยากหาปุ่มเปลี่ยนอาจจะต้องหากันหน่อยนะครับ อย่างไรก็ตามทาง keychron มีแสปร์ขายแต่อย่างไรก็ตามก็อยากแจ้งไว้ก่อนครับว่าหากอยากได้ custom keycaps ต้องหาชุดที่ compatible กับ 75% layout ด้วยครับ

            Keychron เคยบอกว่าสินค้าของเขาเป็นบอร์ดแนว lifestyle ซึ่งผมคิดว่ามันก็สะท้อนออกมากับ K2 ได้ดีนะครับ ไม่ว่าจะการทำออกมาเพื่อ Mac และ PC โดยให้แคปมาด้วยเลย (ใส่มาให้ก่อนแคป PC ด้วย ลำเอียงงง 555) ไม่ต้องหาเพิ่มเลย เทียบกัน K2 ตัวนี้ทำได้ทั้งเล่นเกมและทำงานได้อย่างสบายๆ ไม่ compromise ฝ่ายใดทั้งสิ่น หากต้องเลือกคีย์บอร์ดซักตัว และตัวเดียว ผมว่า K2 น่าสนใจมาก และตอบโจทย์ทั้งสองโลก OS และโลกการใช้งาน Mechanical คีย์บอร์ดทั้งสองได้อย่างดีเยี่ยมครับ

อันนี้ไม่มีสปอนเซอร์ Amazon นะ 5555 เอาไปใช้งานจริงตอน Flash Micro Controller ที่ร้านกาแฟ

อ่าน K2 กันแล้ว สนใจบอร์ด Low Profile กันต่อป่าววัยรุ่นนน อ่านรีวิว K1 ต่อได้ที่นี่เลยจ้า

นักเลงคีย์บอร์ด รายงาน

2 comments on “[MechReview] รีวิว Keychron K2 – 75% บอร์ดเดียวเอาอยู่ เพื่อนคู่ออฟฟิศ มิตรคู่เกมมิ่ง

  1. Supadej Sutthiphongkanasai

    มี K2 กับ K4 ที่ Kickstarter แต่ไม่ได้ซื้อไม้รองมาได้ ตอนนี้อยากได้มาก

    ถูกใจ

ใส่ความเห็น